mmm

ยินตีต้อนรับสู่...อีสานบ้านเฮา ภาคอีสาน หรือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เป็นเขตหรือภาคหนึ่งทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย อยู่บนที่ราบสูงโคราช มีแม่น้ำโขงกั้นเขตทางตอนเหนือและตะวันออกของภาค ทางด้านใต้จรดชายแดนกัมพูชา ทางตะวันตกมีเทือกเขาเพชรบูรณ์และเทือกเขาดงพญาเย็นเป็นแนวกั้นแยกจากภาคเหนือและภาคกลาง การเกษตรนับเป็นอาชีพหลักของภาค แต่ด้วยสภาพอากาศที่ร้อนและแห้งแล้ง รวมถึงปัจจัยอื่นๆ ทางด้านสังคมเศรษฐกิจ ทำให้มีผลผลิตที่น้อยกว่าภาคอื่นๆ ภาษาหลักของภาคนี้ คือ ภาษาอีสาน แต่ภาษาไทยกลางก็นิยมใช้กันแพร่หลายโดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ขณะเดียวกันยังมีภาษาเขมร ที่ใช้กันมากในบริเวณอีสานใต้ นอกจากนี้ยังมีภาษาถิ่นอื่นๆ อีกมาก เช่น ภาษาผู้ไท ภาษาโส้ ภาษาไทยโคราช เป็นต้น ภาคอีสานมีเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรมที่โดดเด่น เช่น อาหาร ภาษา ดนตรีหมอลำ และศิลปะการฟ้อนรำที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เป็นต้น ภาคอีสาน มีเนื้อที่มากที่สุดของประเทศไทย ประมาณ 168,854 ตารางกิโลเมตร หรือมีเนื้อที่ร้อยละ 33.17 เทียบได้กับหนี่งในสามของพื้นที่ทั้งหมดของประเทศไทยได้จัดว่าเป็นพื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เทือกเขาที่สูงที่สุดในภาคอีสานคือ ยอดภูหลวง และภูกระดึงซึ่งเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสายสำคัญของชาวอีสานในหลายจังหวัดด้วยกัน เช่น ลำตะคอง แม่น้ำชี แม่น้ำพอง แม่น้ำเลย แม่น้ำพรม แม่น้ำมูล

วันพุธที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2554

บั้งไฟพญานาค : มหัศจรรย์แห่งลุ่มน้ำโขง




ความเชื่อเกี่ยวกับ นาค” ในประเพณีออกพรรษาของชาวอีสาน
               วันออกพรรษา นับเป็นสำคัญทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นวันสิ้นสุดระยะการจำพรรษา หรือออกจากการประจำอยู่ในฤดูฝน ซึ่งตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 วันออกพรรษาหรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า วันมหาปวารณา ซึ่งแปลว่า อนุญาต หรื ยอมให้ คือเป็นวันที่เปิดโอกาสให้พระภิกษุสงฆ์ด้วยกันว่ากล่าวตักเตือนกันได้ ในข้อที่ผิดพลั้ง ล่วงเกิน ระหว่างที่จำพรรษาอยู่ด้วยกัน ในวันออกพรรษากิจของชาวพุทธโดยทั่วไปคือการบำเพ็ญกุศล ทำบุญตักบาตร จัดดอกไม้ ธูปเทียน ไปบูชาพระที่วัด และฟังธรรมเทศนา
               สำหรับชาวอีสานมีประเพณีที่น่าสนใจเกี่ยวเนื่องกับวันออกพรรษา เช่น ที่จังหวัดสกลนครมีงานประเพณีแห่ปราสาทผึ้ง เป็นประเพณีงานบุญบนความรื่นเริงอันยิ่งใหญ่ในรอบปี
จังหวัดนครพนมมีงานประเพณีไหลเรือไฟเพื่อบูชารอยพระพุทธเจ้า สักการะท้าวพกาพรหม การบวงสรวงพระธาตุจุฬามณี  การระลึกถึงพระคุณของพระแม่คงคา การขอฝน การเอาไฟเผาความทุกข์ และการบูชาพระพุทธเจ้าในคืนวันเพ็ญเดือน 11
จังหวัดมุกดาหารมีพิธี ตีช้างน้ำนอง”  ซึ่งเป็นพิธีเก่าแก่ โดยการนำเรือที่จะแข่งขันทุกลำมาร่วมพิธีเพื่อบวงสรวง ขอขมา พระแม่คงคาตามลำน้ำโขง
               จังหวัดหนองคายมีปรากฏการณ์ที่เกี่ยวเนื่องกับ พญานาค”  อย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุดนั้นคือปรากฏการณ์ บั้งไฟพญานาค ตามลำน้ำโขง ซึ่งคนในท้องถิ่นมีความเชื่อว่าพญานาคใต้ลำน้ำโขง ได้จุดบั้งไฟร่วมถวายเป็นพุทธบูชาในการเสด็จกลับจากชั้นดาวดึงส์ของพระพุทธเจ้าครบ 3 เดือน   สู่โลกมนุษย์ในช่วงเทศกาลออกพรรษา โดยพญานาคได้เนรมิตบันไดแก้ว เงินทอง เป็นบันไดลงมา



บั้งไฟพญานาค ความลึกลับใต้ผืนน้ำ

              ปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคเกิดขึ้นบริเวณกลางแม่น้ำน้ำโขงหรือบริเวณใกล้ฝั่ง ในเขตอำเภอเมือง อำเภอโพนพิสัย อำเภอศรีเชียงใหม่ อำเภอสังคม อำเภอรัตนวาปี  จังหวัดหนองคาย ส่วนจุดที่มีบังไฟพญานาคเกิดมากที่สุดคือบริเวณหน้าวัดไทย และวัดจุมพลในเขตสุขาภิบาลอำเภอโพนพิสัย ซึ่งเป็นจุดต้อนรับผู้ที่จะมาชม บั้งไฟพญานาค” ในช่วงเทศกาลออกพรรษา




                ลักษณะของบั้งไฟพญานาคจะเป็นลูกไฟพุ่งจากแม่น้ำโขงขึ้นสู่อากาศมีระยะประมาณ 20  30 เมตร แล้วหายไป มีขนาดแตกต่างกันออกไป มีห้วงเวลาที่เกิดเริ่มตั้งแต่ 6 โมงเย็น ในบางปีจะเริ่ม 2  3 ทุ่ม มีระยะการเกิดประมาณ 3  4 ชั่วโมง แล้วจึงค่อย ๆ หมดไป
จากคำบอกเล่าของชาวจังหวัดหนองคายพบว่าการเกิดบั้งไฟพญานาคมีมานานกว่า 60 ปี แต่เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไปในปี 2534 ภายหลังที่มีการแพร่ภาพทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 5  ซึ่งในเวลาต่อมาทางจังหวัดหนองคายได้มีการประชาสัมพันธ์และจัดงานเฉลิมฉลองในห้วงเวลาดังกล่าวเพื่อเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวของจังหวัด

บั้งไฟพญานาค ตามแนวทางวิทยาศาสตร์
               นายแพทย์มนัส กมลศิลป์ ในสมัยที่เป็นนายแพทย์อยู่ที่โรงพยาบาลหนองคาย ได้ศึกษาปรากฏการณ์บั้งไฟพญานาคมาเป็นระยะเวลา 4 ปี และได้ทดลองและวิเคราะห์ตามหลักการทางวิทยาศาสตร์จึงสรุปได้ว่า บั้งไฟพญานาค” น่าจะเป็นมวลสาร และจะต้องมีมวล เพราะสามารถแทรกน้ำขึ้นมาได้ น่าจะเป็นก๊าซที่ไม่มีสี ไม่มีกลิ่น จุดติดไฟได้เอง และจะต้องเบากว่าอากาศ โดยจะเกิดขึ้นบริเวณน้ำลึกประมาณ 4.55  13.40 เมตร หรือหล่มดินเป็นที่เกิดของก๊าซ และก๊าซที่อยู่ใต้พื้นน้ำน่าจะมีจุดกำเนิดมาจากอินทรียวัตถุ เช่น มูลสัตว์ ซากพืช ซากสัตว์ สิ่งมีชีวิตที่ตายแล้ว หมักเป็นก๊าซมากพอที่จะพลิกหรือเผยอหล่มโคลนใต้น้ำนั้นได้ โดยที่ก๊าซที่ได้เป็นลูก ๆ  นั้นจะมีขนาด 200 ซีซี. ลอยจากน้ำลึกขึ้นสู่ผิวน้ำในระดับ 1  5 เมตร จากนั้นจะเริ่มติดไฟด้วยตนเอง



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น